ข่าวสาร


ท่าทีใหม่ของ"อเมริกา"
        เห็นท่าทีนายแดเนียล รัสเซล ผู้ช่วยรัฐมนตรีด้านกิจการเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกาเข้าพบ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เมื่อวานนี้แล้วก็ทำให้เห็นถึงปฏิกิริยาร้อนรนอยู่ไม่น้อย ซึ่งสะท้อนจากคำพูดของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ออกมาเปิดเผยทำให้เห็นภาพบวกของความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศที่ก่อนหน้านี้มองว่ามหาอำนาจประชาธิปไตยขี่ประเทศเล็กอย่างไทยที่เป็นเผด็จการ
        ด้วยลีลาของพลเอกประยุทธ์ ที่ออกมาระบุว่าไทยพร้อมให้การสนับสนุนบทบาทสหรัฐอเมริกา ในการทำให้ภูมิภาคนี้มีความเข้มแข็ง ขณะที่ไทยไม่ได้มองว่าเป็นผู้นำอาเซียน แต่จะทำหน้าที่ประสานประเทศต่างๆ ในอาเซียนก้าวไปอย่างเข้มแข็ง และรู้สึกยินดีที่สหรัฐอเมริกากลับมาให้ความสำคัญประเทศเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ นอกจากนั้น ยังหันกลับมาให้ความสำคัญประเทศไทย แม้จะอยู่ภายใต้ข้อจำกัดโดยกฎหมายของสหรัฐอเมริกาเอง โดยสหรัฐอเมริกายืนยันพร้อมเดินหน้าไปด้วยกันภายใต้ข้อจำกัด พยายามลดช่องว่างความสัมพันธ์ที่ผ่านมาและก่อนที่จะจับมือกันเหนียวแน่น นายกรัฐมนตรีของไทย ก็อธิบายให้เข้าใจสถานการณ์ประเทศไทย โดยขอย้อนกลับไปดูการเมืองในอดีตว่าเกิดอะไรขึ้น ซึ่งจะทำให้สหรัฐอเมริกาเข้าใจปัจจุบัน มองอนาคตได้อย่างชัดเจน พร้อมขอให้มองประเทศไทย อย่ามองที่ตัวบุคคล แต่ขอให้ไปศึกษาเพิ่มเติม โดยนายกรัฐมนตรีของไทยได้บอกว่าไทยได้ผ่านอะไรมาบ้าง ประการสำคัญเราไม่ได้ถอยห่างจากหลักประชาธิปไตยเลย ซึ่งเราทำให้เห็นตัวอย่างแล้วว่าเรากำลังทำให้ประเทศไทยกลับไปสู่การเป็นประชาธิปไตยที่เข้มแข็ง และเป็นประชาธิปไตยที่ประชาชนคนไทยมีความรับผิดชอบในบทบาทหน้าที่ของตัวเอง
        โดยทางสหรัฐอเมริกาเองแสดงความเข้าใจ พร้อมบอกว่าในเรื่องสิทธิมนุษยชนเป็นเรื่องที่อาจถูกนำไปเป็นประเด็นได้ ขอให้ประเทศไทยระมัดระวังเรื่องนี้ โดยนายกรัฐมนตรียืนยันว่าได้ระมัดระวังเรื่องนี้ แต่ความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นเป็นข่าวที่ออกมาล้วนแต่มีเบื้องหน้า เบื้องหลังทั้งนั้น เพราะไม่ใช่พลังการเคลื่อนไหวที่บริสุทธิ์ แต่ต้องการสร้างประเด็นให้สหรัฐอเมริกามาสนใจ มากดดัน ให้ต่างประเทศและองค์กรระหว่างประเทศมากดดัน ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีของไทยอยากให้มองหลายมุม อย่ามองมุมประชาธิปไตยมุมเดียว และขอให้มองแง่มุมของเรื่องความมั่นคง ความปลอดภัยของประเทศด้วย ซึ่งเป็นการเตือนให้สหรัฐอเมริกามองหลายมุมมอง
นายกรัฐมนตรีของไทยได้ใช้โอกาสนี้ย้ำถึงเจตนารมณ์ที่สำคัญในการบริหารประเทศ โดยรักษาสมดุลระหว่าง หนึ่ง ระบอบประชาธิปไตยและการคำนึงถึงสิทธิเสรีภาพของประชาชน และสอง ความมีเสถียรภาพและความมั่นคงของชาติ เพื่อให้ประเทศไทยสามารถหลุดพ้นวงจรปัญหาทางการเมืองเดิม โดยย้ำว่าเป้าหมายหลักของรัฐบาล คือการปฏิรูปที่หยั่งรากลึกและนำไปสู่ประชาธิปไตยที่แข็งแรง มีรัฐบาลที่โปร่งใส มีหลักนิติธรรม และคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนไทยทุกคน ทั้งนี้ ประชาธิปไตยเป็นมากกว่าเพียงการเลือกตั้ง สิ่งที่รัฐบาลดำเนินการอยู่ในขณะนี้ เป็นการวางรากฐานให้ประเทศไทยมีประชาธิปไตยที่มั่นคง พร้อมเชื่อว่า สหรัฐจะไม่นำมาตรฐานเดียวมาพิจารณาการดำเนินการของประเทศต่างๆ ที่มีระดับการพัฒนาที่ไม่เท่ากัน
ก่อนทิ้งท้ายว่า การที่นายแดเนียล ได้พบหารือกับภาคส่วนและบุคคลต่างๆ จะได้รับข้อมูลจากทุกฝ่ายตามความเป็นจริงและได้เห็นถึงความตั้งใจจริงของรัฐบาลในการปฏิรูปประเทศ ซึ่งน่าจะเป็นเป้าหมายสำคัญ ที่นายกรัฐมนตีของไทยต้องการกระตุกเตือนให้สหรัฐอเมริกาแสวงหาข้อมูลอย่างรอบด้านก่อนแสดงท่าทีในการสนองตอบร่วมกับกลุ่มต่อต้านการรัฐประหาร
     แม้เราจะเห็นว่าการที่สหรัฐอเมริกามีท่าทีบวกกับไทยมากขึ้นในขณะนี้ จะมีวาระอื่นที่ผูกพันกับผลประโยชน์หลักของสหรัฐอเมริกา ในเรื่องการลงทุน หรือเรื่องพลังงานอยู่ด้วยก็ตาม แต่ก็เป็นสัญญาณที่ดีในทางการเมืองและความมั่นคง ซึ่งการวางน้ำหนักความสัมพันธ์ และข้อพูดคุยของนายกรัฐมนตรีของไทย ก็แสดงให้เห็นว่ามีความระมัดระวัง และมองเห็นเป้าประสงค์ของมหาอำนาจที่เข้ามาในขณะนี้อยู่ไม่น้อย.

ไม่มีความคิดเห็น: